ในท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนของโลกยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากต่างแสวงหาทางออกจากความทุกข์ ความเครียด และความวุ่นวายภายในจิตใจ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง "การปล่อยวาง" จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสงบเย็นและความสุขที่แท้จริง
การปล่อยวางในพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งความรับผิดชอบ การไม่ใยดี หรือการเพิกเฉยต่อโลก แต่เป็นการเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง และการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนกลายเป็นความทุกข์ ด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ต้นตอแห่งความทุกข์ทั้งปวงคือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) และ อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) การที่เรายึดมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ ความคิด หรือแม้กระทั่งร่างกายและจิตใจของเราเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เมื่อเราไปยึดติดกับสิ่งที่แปรปรวน ย่อมนำมาซึ่งความผิดหวัง เสียใจ และความทุกข์ในที่สุด
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งเป็นปฐมเทศนาว่า “ความทุกข์คืออะไร ทุกข์คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศกเศร้า ร่ำไห้ คร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ และสรุปว่า อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔, พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑, ธัมมจักกัปปวัตนสูตร) ซึ่งอุปาทานขันธ์ 5 ก็คือ การยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าเป็นตัวตนของเรา
การปล่อยวางจึงอาศัยการเห็นแจ้งใน ไตรลักษณ์ อันได้แก่:
อนิจจัง (ความไม่เที่ยง): สรรพสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวรตลอดไป
ทุกขัง (ความเป็นทุกข์): สรรพสิ่งทั้งปวงตกอยู่ในสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก มีการบีบคั้น ไม่สามารถคงสภาพเดิมได้ตลอดไป
อนัตตา (ความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน): สรรพสิ่งทั้งปวงไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีสาระแก่นสาร ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของๆ เรา ไม่อยู่ในอำนาจที่จะบังคับบัญชาได้
เมื่อเราพิจารณาเห็นไตรลักษณ์อย่างลึกซึ้งด้วยปัญญา จิตใจของเราก็จะค่อยๆ คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้เอง ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗, พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค, อนัตตลักขณสูตร)
การฝึกฝนเพื่อการปล่อยวางสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้:
การเจริญสติ: ฝึกรู้ตัวทั่วพร้อมในทุกขณะที่เคลื่อนไหว คิด หรือรู้สึก การมีสติจะช่วยให้เราเห็นอารมณ์หรือความคิดที่เกิดขึ้นและดับไป โดยไม่เข้าไปติดยึดหรือปรุงแต่งให้เป็นเรื่องใหญ่
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง: หมั่นสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวและแม้แต่ตัวเราเองว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่แก่ชราลง ความคิดที่เปลี่ยนไป อารมณ์ที่ผันผวน เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตจะคลายความยึดติด
การยอมรับความจริง: ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ สมหวังหรือผิดหวัง เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
การให้ทานและการเสียสละ: การให้และการแบ่งปัน เป็นการฝึกจิตให้คลายความตระหนี่และความยึดติดในวัตถุสิ่งของ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปล่อยวาง
การภาวนา: การทำสมาธิจะช่วยให้จิตสงบ มีกำลัง และสามารถพิจารณาเห็นความจริงของโลกและชีวิตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเราฝึกฝนการปล่อยวางจนเข้าใจและปฏิบัติได้ในระดับหนึ่ง เราจะสัมผัสได้ถึงประโยชน์อันมหาศาล คือ:
จิตใจสงบเย็น: ไม่วุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อย ไม่ยึดติดกับผลลัพธ์
ลดความทุกข์: เมื่อไม่ยึดมั่น ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ผิดหวัง ก็จะเบาบางลง
เป็นอิสระ: ไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวังหรือความอยากได้อยากมี
มีความสุขที่แท้จริง: ความสุขที่เกิดจากการปล่อยวาง คือความสุขที่ปราศจากการปรุงแต่ง ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก
การปล่อยวางตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น คือหนทางอันประเสริฐที่จะนำพาจิตใจไปสู่ความสงบเย็นและความสุขที่ยั่งยืน เป็นการฝึกฝนตนเองให้เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง เห็นแจ้งในไตรลักษณ์ และไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ เมื่อนั้น จิตใจก็จะเบา โล่ง โปร่ง และเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งความทุกข์ทั้งปวง